วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2552

พิษภัยจากน้ำหอม...






พิษภัยจากน้ำหอม

กลิ่นอะไรนะ ? หอมจัง ? เป็นคำพูดที่ใคร ๆ หลายคนมักบอกกับตัวเองเมื่อเวลาเดินผ่านใครบางคน โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นทั้งหลายที่มีกลิ่นหอม และกลิ่นนั้นจะเป็นกลิ่นอะไรไปไม่ได้นอกจากกลิ่นน้ำหอมที่ใช้เพิ่มเสน่ห์ให้กับตัวคุณ

ปัจจุบันวัยรุ่นหันมาใส่ใจและดูแลตัวเองกันมากขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของความสวยความงาม และการเติมเสน่ห์ให้กับตัวเอง โดยการใช้น้ำหอมที่นิยมกันอย่างแพร่หลายไม่ว่าจะเป็นเพศไหน วัยไหนก็ตาม น้ำหอมก็ถือว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นในการ ช่วยเสริมสร้างบุคลิกให้ดูดี มีเสน่ห์ และยังช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้เป็นอย่างดี แต่เนื่องจากวัยรุ่นส่วนใหญ่ค่อนข้างที่จะนิยมใช้น้ำหอมยี่ห้อที่มีชื่อเสียงขณะที่ยังอยู่ในวัยเรียน จึงส่งผลให้พวกเขาต้องขวนขวายหาเงินจำนวนมากเพื่อนำมาซื้อน้ำหอมราคาแพงและในที่สุดก็ต้องรบกวนพ่อแม่ที่หาเงินส่งลูกแทบตัวเป็นเกลียว

น้ำหอมไม่ใช่ว่าจะมีแต่ประโยชน์ แต่โทษของน้ำหอมก็มี อย่างเช่น มีรายงานข่าวจาก สำนักข่าว เอ เอฟ พี จากกรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา ถึงผลการศึกษาของกลุ่มนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในสหรัฐอเมริกา ระบุว่า เครื่องสำอางชื่อดังที่วางจำหน่ายในห้างสรรพสินค้าทั่วโลก มีสารอันตรายเจือปน สามารถทำให้สตรีคลอดลูกออกมาพิการได้ สารอันตรายดังกล่าวมีชื่อว่า “ ฟาทาเลตส์ ” เป็นสารเคมีที่ใช้ละลายผสมในน้ำหอมและเครื่องสำอางเพื่อทำให้น้ำหอมมีกลิ่นติดทนนาน โดยกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมด้านสุขอนามัยแห่งสหรัฐอเมริกาได้นำผลิตภัณฑ์ความงามที่วางจำหน่ายในตลาดไปทดสอบแล้วพบว่าในน้ำหอมมีสาร “ ฟาทาเลตส์ ” เจือปนอยู่ในผลิตภัณฑ์ถึงร้อยละ 72 ในจำนวนผลิตภัณฑ์ที่นำมาทดสอบพบว่ามีเครื่องสำอางยี่ห้อดังระดับโลกหลายยี่ห้อรวมอยู่ด้วย เอ เอฟ พี ระบุว่า เครื่องสำอางที่ตรวจพบสาร “ ฟาทาเลตส์ ” เช่น น้ำหอมพอยซั่น ของคริสเตียน ดิออร์ นอกจากนี้ ยังพบในเครื่องสำอางยี่ห้อคาลวิน ไคลน์ ( Calvin Klein) , เรฟลอน ( Revlon) และพร็อคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล หรือ พี แอนด์ จี( Procter :Gamble) ในผลการศึกษาระบุว่า ผลิตภัณฑ์น้ำหอมน่าเป็นห่วงที่สุด เพราะมีสาร “ ฟาทาเลตส์ ” อยู่ในปริมาณมาก อาทิ น้ำหอมเรด ดอร์ ( Red door) ของเอลิซาเบธ อาร์เดน โดยพบสาร “ ฟาทาเลตส์ ” ในปริมาณ 28,000 ต่อ 1 ล้านส่วนของปริมาณน้ำหอม
ทางด้านนักวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยทูเลน ( Tulane University ) เมืองนิวออรีนส์ สหรัฐอเมริกา พบว่ามีน้ำหอมจำนวน 38 ชนิดที่สามารถสร้างปัญหาให้ระบบทางเดินหายใจของผู้ป่วยที่เป็นโรคหอบหืด ( Asthma) โดยน้ำหอมที่สร้างปัญหาให้มากที่สุดคือ ยี่ห้อ Red , Charlie , White , Diamonds , Giorgio , Opium และ Poison นอกจากนี้ยังพบสารเคมีอันตรายชนิดอื่นที่ถูกนำมาใช้เป็นส่วนผสมในน้ำหอม เช่น “ เอซิโทน( Acetone ) ” น้ำยาไวไฟสูตร C3H6O ใช้เป็นยาละลายสารอื่น ซึ่งเป็น “ คาร์ซิโนเจน ” ( carcinogen ) สารที่ก่อให้เกิดมะเร็งมักใส่ในน้ำยาล้างเล็บ และ “ เบนซิล เอซิเตต ” ( Benzyl acetate ) เป็นสารที่ก่อให้เกิดมะเร็งอีกตัวที่สร้างความระคายเคืองให้นัยน์ตาและทำให้หายใจไม่ออก ซึ่งถ้าคุณเคยมีปฏิกิริยาเวลาได้กลิ่นน้ำหอม เช่น จาม เวียนศีรษะ และหายใจไม่ค่อยออก แสดงว่าคุณอาจเป็นโรคหอบหืดหลบใน
ถึงแม้ว่าน้ำหอมจะมีทั้งประโยชน์และโทษควบคู่กัน สำหรับคนที่ชื่นชอบน้ำหอมและต้องการเพิ่มความมั่นใจให้กับตนเองก็ยังคงนิยมใช้อยู่ แต่มักจะไม่ค่อยทราบหรือสนใจเกี่ยวกับโทษที่ตามมาของมันสักเท่าไหร่ จะคิดแต่ว่าใช้แล้วให้ผลกับเราอย่างไรมากกว่า ส่วนการใช้น้ำหอมก็ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแต่ละคนว่าชอบหรือไม่ชอบ ซึ่งเราก็สามารถหลีกเลี่ยงกับน้ำหอมที่มีอันตรายได้ และสามารถที่จะเลือกให้เข้ากับบุคลิก หรือลักษณะนิสัยของตัวเองได้ เพราะไม่ว่าใครก็อยากมีกลิ่นหอมประจำตัวกันทั้งนั้น และไม่ว่าน้ำหอมนั้นจะมีราคาถูกหรือแพง จะเป็นหัวน้ำหอมแท้ หรือน้ำหอมที่ได้รับการเจือจางแล้วก็ตาม ก็ต้องจะพิจารณาก่อนที่จะเลือกซื้อเพื่อให้ได้ผลตอบแทนคุ้มค่ากับเงินที่เสียไป และไม่เป็นอันตรายต่อชีวิต ยิ่งไปกว่านั้นแล้วเวลาที่ใช้น้ำหอมควรคิดถึงคนรอบข้างด้วย เช่น คำนึงถึงคนรอบตัวที่แพ้น้ำหอม หากเราใช้กลิ่นที่ฉุนหรือใส่ปริมาณมากเกินไป อาจทำให้คนเหล่านั้นเกิดอาการจามเนื่องจากการแพ้ได้

ที่มา:http://www.nitadebangkok.com/

โลมาสีชมพู.....

นักท่องเที่ยวที่ไปเยือนทะเลขนอม จ.นครศรีธรรมราช ถ้าจะให้ได้ชื่อว่าไปถึงทะเลขนอมอย่างแท้จริง จะต้องไม่พลาดกิจกรรมชมโลมาสีชมพู ซึ่งเป็นโลมาประจำถิ่นที่อาศัยอยู่ที่ทะเลแห่งนี้ และจะออกมาโชว์ตัวให้นักท่องเที่ยวได้ชมความน่ารักเกือบทุกวัน
โลมาสีชมพูมีเรื่องราวที่น่าสนใจมากมาย ที่หลายคนอาจยังไม่รู้ ลองมาทำความรู้จักกับโลมาชนิดนี้ ก่อนที่จะมีโอกาสไปชมโลมาตัวเป็นๆ กันที่ทะเลขนอม

ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับโลมา

โลมาไม่ใช่ปลา แต่เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เหมือนกับคน ลิง หมา แมว หมี หรือหนู แต่โลมามีวิวัฒนาการให้อาศัยอยู่ในน้ำ เหมือนกับ “วาฬ”
โลมามีการปรับตัว โดยการพัฒนารูปร่างและอวัยวะต่างๆ ให้เหมาะกับการดำรงชีวิตอยู่ในน้ำ
รูปร่าง โลมามีรูปร่างเพรียวเหมือนหัวจรวด ผิวหนังเรียบ ไม่มีขน และมีหางขนาดใหญ่ ช่วยให้ว่ายน้ำได้รวดเร็ว

ระบบหายใจ

เปลี่ยนช่องทางการหายใจ หรือ ย่อจมูกมาอยู่ด้านบนของหัว เพื่อให้สะดวกในการหายใจเมื่อโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ และให้ท่อหายใจหรือหลอดลมอยู่แยกกับช่องปาก เพื่อให้โลมากินอาหารใต้น้ำได้
ปอดมีขนาดเล็กกว่าคน แต่สามารถใช้ออกซิเจนในอากาศได้มากกว่า โลมาจึงสามารถอยู่ในน้ำได้นานกว่าคน และดำน้ำได้ลึกกว่าคน

ผิวหนัง

มีชั้นไขมันมากกว่าสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมบนบก ทำให้ร่างกายอบอุ่นอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเป็นการช่วยลดอัตราการหายใจให้น้อยลง เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้โลมาดำน้ำได้นาน
สายตา โลมามีสายตาที่ดีสามารถมองเห็นได้ดีทั้งบนบกและในน้ำ
มาถึงโลมาสีชมพู กันบ้างโลมาสีชมพูมีชื่อสามัญอีกชื่อหนึ่งว่า โลมาหลังโหนก และชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Sousa chinensis

ลักษณะทั่วไป

โลมาสีชมพูมีขนาดประมาณ 2.2-2.8 เมตร ตัวเมียจะเล็กกว่าตัวผู้เล็กน้อย หนักประมาณ 150-230 กิโลกรัม ตัวอ่อนมีขนาดตัวประมาณ 1 เมตร อายุเฉลี่ยประมาณ 40 ปี มีสีหลากหลายมาก ขึ้นอยู่กับอายุ หรือ ฝูง ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นสีเทาขาว สีดำ และ สีชมพู ตัวอ่อนจะมีสีเข้มกว่าตัวเต็มวัย ยิ่งแก่เท่าไหร่สีผิวจะยิ่งเป็นสีชมพูมากขึ้น บริเวณผิวด้านล่างจะเป็นจุดๆ และมีสีที่สว่างกว่าด้านบน

เมื่อแรกเกิด จะมีสีดำ
วัยเด็ก จะมีสีเทา
วัยรุ่น เริ่มจะมีจุดสีเทาปนชมพูเกิดขึ้น
วัยผู้ใหญ่ จะเป็นสีขาวออกชมพู และจุดสีเทาชมพูจะหายไป

สีชมพูมาจากไหน

โลมาสีชมพูยิ่งมีอายุมากจะมีสีสว่างขึ้น จนถึงเป็นสีชมพู สีชมพูนี้ไม่ได้มาจากเซลเม็ดสี แต่มาจากสีของหลอดเลือดที่ทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้เกิดภาวะที่อุณหภูมิของร่างกายสูงเกินไป
พฤติกรรมโดยทั่วไป ชอบอยู่บริเวณชายฝั่ง หรือบริเวณที่มีความลึกไม่เกิน 20 เมตร บริเวณที่โลมาอาศัยอยู่มักจะพบว่า ชายฝั่งทะเลนั้นจะมีป่าชายเลนอยู่ด้วยเสมอๆ แต่จะต้องอยู่ในบริเวณน้ำตื้นเท่านั้น โลมาสายพันธุ์นี้ชอบอาศัยประจำที่หรือมีการย้ายที่อพยพน้อยมากและอาศัยไม่ห่างจากชายฝั่งเกินระยะ 1 กิโลเมตร ทำให้นักท่องเที่ยวสามารถพบเห็นได้โดยง่าย โดยมักจะพบเห็นตั้งแต่ตอนเช้า จะอยู่เป็นกลุ่มเล็กๆ ประมาณ 10 ตัว ว่ายน้ำช้า ประมาณ 4.8 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และจะดำน้ำประมาณ 40-60 วินาที ก่อนจะโผล่ขึ้นมาหายใจ บางครั้งมีพฤติกรรมดุร้าย โดยเฉพาะเมื่อมีผู้ล่าเข้ามา

อาหาร

ชอบกิน ปลาเล็ก ปลาหมึก และสัตว์พวกกุ้ง เคย ปู เป็นต้น เมื่อออกหาอาหาร จะใช้สัญญาณเอคโค และออกล่าเป็นกลุ่ม ถึงแม้ว่าจะเป็นสัตว์ที่รวมกลุ่ม แต่โลมาสีชมพูก็จะดุร้ายได้เหมือนกัน และจะต้องการแยกตัวเองออกไปพอสมควรจากตัวอื่นเมื่อต้องการหาอาหาร หรือต้องกินอาหาร


นอกจากที่ทะเลขนอมแล้ว เรายังสามารถชมความน่ารักของโลมาสีชมพูได้ที่ จ.จันทบุรี หรือที่บริเวณอ่าวฮ่องกง ซึ่งเป็นบริเวณที่มีโลมาสีชมพูจำนวนมากที่สุด เกือบร้อยตัว

ทั้งนี้ นักท่องเที่ยวที่ไปชมโลมา ควรปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การชมอย่างเคร่งครัด เช่น ไม่ให้อาหารโลมา เพราะการให้อาหารจะส่งผลต่อพฤติกรรมการหาอาหารของโลมา ทำให้โลมาไม่หาอาหารกินเอง นอกจากนี้ยังไม่ควรให้เรือนำชมเข้าใกล้โลมาจนเกินไป เพราะจะเป็นการรบกวนฝูงโลมาที่กำลังหาอาหาร
ที่มา: http://www.biotec.or.th/

วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ไวรัสกลายพันธุ์ได้อย่างไร (How can viruses evolve?)

HOST = เหยื่อ ที่ไวรัสเข้าไปฝังตัว ( มนุษย์ หรือ หมู / นก สัตว์ต่างๆที่มันเข้าไปสิง) HOST cell = เซลล์ ของเหยื่อ ที่ไวรัสเข้าไปฝังตัว ( เซลล์ มนุษย์ หรือ สัตว์) +++ปฏิบัติการเมื่อไวรัสเข้าไปใน HOST Cell+++ ไวรัสเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ครบองค์ประกอบของการเป็นเซลล์ มันจึงไม่สามารถแพร่พันธุ์ด้วยตัวเองได้ แต่จะแพร่พันธุ์โดยการฝังตัวเข้าไปใน HOST cell

ดูรูปประกอบ พื้นที่ สีชมพูทั้งหมด คือ HOST cellรูปหกเหลี่ยมสีเหลือง คือไวรัส หมายเลข 1-2 คือ ไวรัส สัมผัสผิวเซลล์ แล้วจะละลายตัวเองเข้ากับผนังเซลล์ บุกเข้ามาภายใน Host Cellหมายเลข 3 เมื่อเข้ามาแล้ว ไวรัสจะสลายเปลือกตัวเอง เหลือแต่ RNA คือเกลียวสีแดงในรูปหมายเลข 4a RNA คือสารพันธุกรรมของไวรัส ที่จะหลอกล่อ RNA ของHost ( เกลียวสีน้ำเงิน) ให้มาประกบตัว เพื่อสร้างไวรัสตัวใหม่ออกมามากมาย ( ปกติ RNA ของมนุษย์ มีไว้สร้าง โปรตีน และสารจำเป็นอื่นๆต่อร่างกาย และแน่นอนมันเป็นสารที่มีรหัสพันธุกรรมมนุษย์อยู่ด้วย)ในรูป
4b คือ RNA ไวรัส หลอก RNA มนุษย์ ให้สร้างเปลือกใหม่ ให้มันแทนอันที่มันสลายทิ้งไปตอนแรก4c คือ RNA ไวรัส หลอก RNA มนุษย์ ให้สร้าง RNA ไวรัสใหม่ (ที่ปะปนกับ RNA มนุษย์ เรียบร้อยแล้ว จะกลายพันธ์ได้ช่วงที่หนึ่งก็ตอนนี้แหละ) หมายเลข 5-6 ประกอบร่างกันใหม่อีกครั้ง ได้เป็นไวรัสลูก (ที่ขโมย RNA ของ Host มาผสมเรียบร้อย) จำนวนนับหมื่นนับแสน เข้าละลายผนังเซลล์ ของ Host แล้ว บุกออกจากตัว Host ออกสู่โลกภายนอกอีกครั้ง.......ระบาดด นั่นเอง.....ไวรัสกลายพันธ์อย่างไร1. Mutation =การผ่าเหล่าของพันธุกรรม : วิธีนี้ช้า ในมนุษย์ ใช้เวลาหลายร้อยชั่วคน แต่ในไวรัส ไม่กี่รุ่นก็ทำได้ (จำคำอธิบายข้างต้นว่า เพียงพ่อเดียว( host ที่ไวรัสไปฝังตัว--> ไวรัสก็ออกลูกได้เป็นหมื่น จึงไม่ต้องรอหลายรุ่นอย่างมนุษย์) และแน่นอน ไม่ต้องรอนับพันปีอย่างมนุษย์ ไวรัสใช้เวลาเป็นวัน หรือ ชั่วโมงเท่านั้น2. Genetic Recombination เป็นวิธีที่เร็วอย่างน่ากลัวเข้าไปอีก อธิบายดังนี้.....โปรดดูรูปประกอบอีกครั้ง เกลียวสีแดงๆนั้นแทน RNA ซึ่งล่องลอยไปมาในเซลคราวนี้ลองนึกภาพว่า ถ้ามีไวรัสไข้หวัดใหญ่ 2 ชนิดขึ้นไปบุกเข้าไปในเซล์Host พร้อมกัน ไวรัสนั้นจะสลายเกราะ ปล่อย RNA ของมันออกมาล่องลอยในเซลล์ ก่อนจะประกอบร่างตัวเองขึ้นมาใหม่เป็นไวรัสลูกหลานออกนอกเซลล์ ไอ้ตอนนี้แหละท่านผู้ชม... มันก็ลากเอา RNA อะไรก็ได้มาประกอบร่าง ( ทั้งของไวรัสอีกตัวนึง กับของ Host ) ผสมกันออกจากเซลล์ กลายเป็น ไวรัสพันธุ์ใหม่เสร็จสรรพ.....นี่คือที่มาว่า ไวรัสไข้หวัดใหญ่ H1N1 ธรรมด๊าธรรมดา กลายมาเป็นไข้หวัดหมู เม็กซิโก 2009 ได้ยังไงสรุปง่ายๆคือ Host ( คนหรือสัตว์) เกิดแจ็คพ็อตติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ 2 ชนิดขึ้นไปในคราวเดียวกัน ไวรัสก็จะไปผสมพันธุ์กันในร่างเหยื่อคนนั้น ก่อให้เกิดไวรัสพันธุ์ใหม่ พร้อมกันทีเดียวหลายพันหลายหมื่นเผ่าพันธ์ แต่แน่นอน การผสมมั่วซั่วเหล่านี้ ไวรัสพันธ์ใหม่ที่ได้ส่วนใหญ่ จะอยู่ไม่รอดในธรรมชาติ แต่มันหลุดมาเป็นหมื่นชนิดมีหรือจะไม่มีชนิดนึงเล็ดรอด ใช่แล้ว และตัวที่รอดออกมาก็คือ “ ไข้หวัดใหญ่ เม็กซิโก 2009 SWINE FLU ”
ที่มา: http://www.bknowledge.org/

ที่มาและความสำคัญ
เนื่องจากปัจจุบันนี้มีโรคที่เกิดจากการกลายพันธุ์ของไวรัสขึ้นมากมาย จากสาเหตุต่างๆของการกลายพันธุ์จะสามารถทำให้เรารู้สาเหตุของโรค และสามารถหาวิธีป้องกันโรคที่เกิดขึ้นได้ และเป็นการลดอัตราการเกิดโรคได้
วัตถุประสงค์ของการทำ Blog
สามารถให้ผู้อื่นได้รับรู้เรื่องราวที่เป็นประโยชน์และเป็นการบอกกล่าวถึงเรื่องราวที่เรารู้ให้กับคนอื่นได้ เพื่อเป็นประโยขน์ต่อสาธารณะชน
ประโยชน์ที่ได้รับ:
1. ทราบสาเหตุของการเป็นมาของโรคที่กลายพันธุ์ได้
2. สามารถลดการเกิดโรคได้ เนื่องจากการป้องกันการเกิดโรค